วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข่าวการศึกษา


มหากาพย์ครุภัณฑ์อาชีวะ(ภาค4) น้ำไม่ลดตอผุด

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2555 เวลา 00:00 น.
    
 
ในที่สุดผลจากการสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีจัดหาครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ตามโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 : ไทยเข้มแข็ง หรือ เอสพี 2 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) มูลค่ากว่า 884 ล้านบาท ที่มี ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ซึ่งตั้งขึ้นโดย ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช  รมว.ศึกษาธิการ ก็ออกมาแล้ว โดยศ.ดร.สุชาติยืนยันว่าไม่ได้เปิดผลการสืบสวนข้อเท็จจริงให้ใครภายใต้รั้วเสมาได้รู้ได้เห็น แม้แต่ รมช.ศึกษาธิการ ที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสอศ.อย่างนายศักดา คงเพชร ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นกับตา  บอกแต่เพียงกรรมการสรุปมาว่า “น่าเคลือบแคลงสงสัย” และได้รายงานให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีทราบแล้ว ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี
เมื่อไม่สามารถฝากความหวังไว้กับคณะกรรมการชุดนั้นได้ เพราะไม่สามารถให้ความกระจ่างใด ๆ เกี่ยวกับการจัดหาครุภัณฑ์ดังกล่าว และแทนที่จะคลายความสงสัยว่ามีการทุจริตหรือความไม่ชอบมาพากลจริงหรือไม่ กลับทำให้ยิ่งเกิดสงสัยด้วยคำสรุปที่กำกวม ออกมาสีเทา ๆ ไม่ขาวไม่ดำ ปล่อยให้ท่านผู้ชมทั้งหลายต้องไปคลำหาคำตอบกันเอาเองอย่างนี้ เห็นทีเป้าหมายใหม่ที่น่าจะเป็นความหวังช่วยคลายความสงสัยได้ คงต้องเป็นการค้นหาความจริงของคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริง 4 ชุด ที่นายศักดาแต่งตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี เพราะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งล้วนแต่ถูกคัดสรรมาอย่างดี มีทั้งภูมิความรู้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับครุภัณฑ์แต่ละรายการ
และทันทีที่คณะกรรมการกระจายกันลงพื้นที่เก็บข้อมูลก็ได้พบเห็นความผิดปกติอย่างชัดเจนมากมาย และยิ่งเป็นการตอกย้ำสิ่งที่เคยถูกเปิดเผยมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยัดเยียดครุภัณฑ์ จัดส่งครุภัณฑ์ที่ไม่ตรงตามความต้องการไปให้ขณะที่สิ่งที่ขอมากลับไม่ให้ แถมครุภัณฑ์ที่ส่งไปให้ก็ไม่ได้มีการนำออกมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะไม่มีแผนการสอน ไม่มีครูสอน ครุภัณฑ์เหล่านั้นจึงถูกกองทิ้งไว้อย่างไร้ค่าแม้จะจัดซื้อมาด้วยเงินงบประมาณที่สูงกว่าราคาจริง 3-4 เท่าตัวหรือมากกว่านั้น หลายต่อหลายรายการมีลักษณะเหมือนการรวบรวมของเก่าจากเซียงกงมาประกอบ วัสดุบางชิ้นไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนแต่มีสนิมเขรอะ
เชื่อเถอะว่าถ้าใครได้มีโอกาสลงไปเห็นของจริงในพื้นที่รับรองว่าต้องรู้สึกสลดกับสิ่งที่ตาเห็น เพราะในขณะมุมหนึ่งเราจะได้เห็นครุภัณฑ์ใหม่แต่ไร้คุณภาพที่ได้รับจัดสรรไปถูกกองทิ้ง หรือ ตั้งไว้เฉย ๆ  แต่ในอีกด้านหนึ่งก็อาจจะได้เห็นครุภัณฑ์เครื่องไม้เครื่องมือเก่า ๆ ที่ถูกใช้งานมานานนับสิบๆ ปีตั้งเรียงรายเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เครื่องมือ เพราะความที่ถูกใช้งานมานานผ่านมือนักเรียนมานับไม่ถ้วน ครั้นจะซ่อมก็ต้องใช้งบฯจำนวนมากซึ่งก็คงไม่คุ้ม ซื้อใหม่ดีกว่าเพราะจะได้เครื่องที่ทันสมัยและราคาถูกกว่าซ่อม แต่สิ่งที่ได้คือครุภัณฑ์ราคาแพงที่จัดไปกองทิ้งไว้นั่นแหละ
เห็นอย่างนี้แล้วก็ได้แต่คิดว่า การนำงบฯมหาศาลไม่ต่ำกว่า 5,300 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินจากภาษีของคนทำงาน ไปซื้อครุภัณฑ์มากองทิ้งไว้อย่างที่เกิดขึ้น มันทำให้เกิดความสูญเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงสถานศึกษาอาชีวศึกษายังขาดแคลนครุภัณฑ์พื้นฐานอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งเครื่องกลึง เครื่องกัด เครื่องคว้าน เครื่องไส เครื่องเชื่อม อุปกรณ์ไฟฟ้าพื้นฐาน รวมถึงเครื่องยนต์ แทนที่จะนำเงินนั้นไปจัดหาเครื่องมือพื้นฐานที่กำลังขาดแคลนไปให้นักเรียน นักศึกษาได้ฝึก กลับทำในสิ่งที่ไร้ซึ่งจิตสำนึกสิ้นดี บางวิทยาลัยขอเครื่องยนต์เพื่อให้เด็กได้เรียนได้ฝึกซ่อมแต่สิ่งที่วิทยาลัยได้รับมันคือจักรเย็บผ้าทั้งที่ไม่มีวิชาสอน...ไม่อยากเชื่อเลยถ้าไม่ได้เห็นกับตา  
ไม่เพียงเท่านั้นยังพบว่ามีปรากฎการณ์นั่งทับข้อมูลที่ผู้บริหารและคณาจารย์ของสถานศึกษาช่วยกันปกปิดข้อมูล บ่ายเบี่ยงที่จะให้ข้อเท็จจริง แถมบางสถานศึกษายังมีความพยายามแยกชิ้นส่วนครุภัณฑ์ที่ได้รับแต่ไม่มีวิชาสอนไปใช้ประโยชน์อื่น เช่น ชุดครุภัณฑ์บางชุดมีจอโปรเจกเตอร์และคอมพิวเตอร์มาให้ แต่เมื่อชุดครุภัณฑ์นั้นไม่ถูกใช้จัดการเรียนการสอนโดยตรง จึงถูกแยกโปรเจกเตอร์ไปใช้ในห้องประชุม เอาคอมพิวเตอร์ไปแยกใช้สอนวิชาอื่นๆ ซึ่งเปรียบเสมือนการแยกเศษเหล็กขายเซียงกง  ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะนั่นถือว่าเป็นการทำให้ชุดครุภัณฑ์เหล่านั้นได้ถูกนำไปใช้งานแล้ว ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นการกระทำที่ตั้งใจหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ มันเป็นการเบี่ยงเบนประเด็น ถ้าเป็นความตั้งใจก็บอกได้แต่เพียงน่าเสียใจกับพฤติกรรมเหล่านั้น เพราะยามนี้ต้องบอกว่า บ้านเมืองอาชีวะกำลังมีภัย แทนที่ชาวอาชีวะจะรวมใจเป็นหนึ่งลุกขึ้นมากอบกู้ กลับซ้ำเติมทำลายบ้านตัวเองให้พังเร็วยิ่งขึ้น
ถึงวันนี้คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงคงจะเก็บรวบรวมข้อมูลได้มากพอที่จะสรุปผลเบื้องต้นได้แล้ว แว่วว่า ยิ่งลงพื้นที่มากเท่าไหร่ ตอยิ่งโผล่ออกมาฟ้อง เรียกว่าลงที่ไหนเจอที่นั่น ชัดเจนทุกที่ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วไม่ทราบว่า เชอร์ล็อก โฮล์มคณะนี้จะกล้าฟันธงชี้ผิดชี้ถูกแบบไม่ต้องตีความได้หรือไม่ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น